ริดสีดวงทวารคืออะไร ?????
คุณเป็นคนที่ใช้เวลาในห้องน้ำนานไหม เคยนั่งเล่นโทรศัพท์ในห้องน้ำเพลินจนลืมเวลาหรือไม่ แม้พฤติกรรมดังกล่าวดูเหมือนจะไม่มีอันตรายอะไร แต่การนั่งในห้องน้ำนาน ๆ ทำให้เสี่ยงเป็น “โรคริดสีดวงทวาร” ได้ ซึ่งโรคนี้สามารถสร้างความรำคาญได้ตลอดทั้งวัน และอาจต้องเสี่ยงเป็นโรคจนอาจได้รับการผ่าตัดอีกด้วย งั้นมาเช็กกันหน่อยว่าพฤติกรรมแบบไหนที่เสี่ยงบ้าง
ปรับพฤติกรรมด่วน...หากมีพฤติกรรมการกินเหล่านี้!!!!!!!!!!!!!!
- ดื่มน้ำน้อย : ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำ 70% หากดื่มน้ำน้อยไป ลำไส้ก็จะไม่มีน้ำที่ช่วยขับของเสียออกมา ทำให้เกิดของเสียสะสม ลำไส้ก็จะดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าไปในร่างกาย เลือดของเราก็จะสกปรกและข้นหนืด เป็นผลให้เกิดสิว กระ ฝ้า และ โรคริดสีดวง
- ทานแต่เนื้อสัตว์ : เนื้อสัตว์ไม่ค่อยมีกากใยเหมือนอย่างผักและผลไม้ ทำให้การเคลื่อนไหวทางเดินอาหารเป็นไปอย่างช้ามาก กว่าจะขับถ่ายผ่านลำไส้ออกมาได้ก็เกิดการหมักหมมและสร้างเชื้อโรคไว้มาก คนที่กินเนื้อสัตว์มากจึงมักเป็นโรคท้องผูก
- ดื่มชากาแฟ : หากดื่มแล้วทำให้ขับถ่ายน้อยลง ก็พยายามดื่มให้น้อยลง เพราะคาเฟอีนในกาแฟและสารแทนนินในชา มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย
- ชอบกินอาหารรสจัด : ทั้งรสเปรี้ยวจัดและเผ็ดจัด ทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ และยังส่งผลให้ระบบขับถ่ายมีปัญหาจนเกิดเป็นโรคริดสีดวง
โรคริดสีดวงเป็นโรคที่เกิดจากเส้นเลือดดำทวารหนักหรือส่วนปลายสุดของลำไส้ใหญ่เกิดอาการบวมพองหรือยืดตัว มีอาการยื่นนูนเป็นติ่งออกมาจากทวารหนัก โดยสามารถแบ่งโรคนี้ออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
- ริดสีดวงภายใน เกิดขึ้นจากเนื้อเยื่อทวารหนักที่อยู่สูงกว่าระดับหูรูดทวารหนักเกิดการโป่งพองแตกมีเลือดออก และไม่ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บปวดใด ๆ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีเส้นประสาทที่รับความรู้สึกน้อยมาก แบ่งตามความรุนแรงเป็น 4 ระยะ ได้แก่
- ระยะที่ 1 ริดสีดวงยังมีขนาดเล็กอยู่ส่งผลให้มองไม่เห็น แต่มีเลือดออกเวลาถ่ายอุจจาระ
- ระยะที่ 2 มีขนาดใหญ่มากขึ้นและเริ่มเป็นติ่งยื่นออกมาหากทำการเบ่งเพื่อถ่ายอุจจาระ แต่ในระยะนี้ติ่งสามารถหดกลับเข้าไปเองได้
- ระยะที่ 3 เหมือนกับระยะที่ 2 แต่ในระยะนี้ผู้ป่วยต้องใช้นิ้วมือดันติ่งริดสีดวงกลับเข้าไป
- ระยะที่ 4 ในระยะนี้ริดสีดวงจะมีขนาดใหญ่เป็นติ่งที่ยื่นออกมาแบบถาวร ไม่สามารถหดหรือดันกลับเข้าไปได้แล้ว
- ริดสีดวงภายนอก เกิดบริเวณทวารหนักส่วนล่างมีอาการนูนเป็นติ่งออกจากทวารหนัก ริดสีดวงชนิดนี้สามารถสังเกตเห็นง่ายกว่าริดสีดวงภายในและมีอาการเจ็บปวดจากประสาทรับความรู้สึก
สาเหตุของริดสีดวงทวาร
มักเกิดจากแรงดันที่มีปริมาณมากขึ้นกว่าปกติในเส้นเลือดทวารหนักจนมีอาการบวม ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเช่นนี้เกิดได้หลายประการ ได้แก่
- การยกของหนักบ่อย ๆ
- การนั่งถ่ายอุจจาระนาน การเบ่งอุจจาระแรง และการมีอาการท้องผูก
- การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
- ท้องเสียบ่อย
- คนในครอบครัวเคยเป็นโรคนี้มาก่อน
- ผู้ป่วยสูงอายุที่มีความเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันทางทวารหนัก
- รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยเกินไป
- มีโรคประจำตัวอื่นที่เพิ่มความดันในช่องท้อง เช่น ตับแข็ง ภาวะตั้งครรภ์ โรคอ้วน เป็นต้น
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
อาการของริดสีดวงทวาร
- มีเลือดออกขณะหรือหลังถ่ายอุจจาระ
- มีติ่งหรือก้อนที่ทวารหนักอาจมีอาการคัน ปวด เจ็บ บริเวณที่เป็นริดสีดวง
- นอกจากนี้ยังอาจมีอาการหน้ามืดเวียนศีรษะร่วมด้วย
ถ่ายเป็นเลือดบอกอะไรบ้าง
แม้อาการเริ่มต้นของริดสีดวง คือ การมีอาการถ่ายเป็นเลือด แต่อาการดังกล่าวอาจนำไปสู่โรคมะเร็งลำไส้ส่วนปลายที่อยู่ใกล้กับทวารหนัก ซึ่งจุดสังเกตง่าย ๆ คือ หาเป็นมะเร็งลำไส้จะไม่มีติ่งเนื้อยื่นออกมา มีอาการปวดบริเวณก้น และความแตกต่างอีกอย่างคือ เวลาขับถ่ายคนที่เป็นริดสีดวงทวารจะขับถ่ายเป็นปกติแล้วค่อยมีหยดเลือดออกมา แต่หากเป็นมะเร็งลำไส้จะถ่ายเป็นเลือดปนมากับอุจจาระ
การวินิจฉัยโรคริดสีดวง
- สอบถามประวัติของผู้ป่วย เช่น มีเลือดออกขณะหรือหลังถ่ายอุจจาระ มีก้อนเนื้อที่ทวารหนัก โดยอาจมีอาการปวดหรือไม่ปวดก็ได้
- ตรวจร่างกาย
- ตรวจดูขอบทวารหนัก แพทย์สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เพราะส่วนใหญ่จะมีติ่งออกมาอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้ว
- ตรวจขอบทวารหนักด้วยนิ้วมือ เพื่อแยกโรคอื่น ๆ เช่น ก้อน หรือแผลในทวารหนัก
- การใช้กล้องขนาดเล็กส่อตรวจในทวารหนัก
- การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ โดยจะทำในผู้ป่วยที่สงสัยว่าอาจเป็นโรคในลำไส้ใหญ่
ภาวะแทรกซ้อน
- เลือดออก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง หรือภาวะขาดเลือดจนความดันโลหิตต่ำ จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย ปากแห้ง มือเท้าเย็น เป็นต้น
- ลิ่มเลือดอุดตันในหัวริดสีดวงทวาร ติ่งเนื้อริดสีดวงเป็นก้อนเพราะมีก้อนเลือดอุดตันจับตัวกันเป็นก้อนอยู่ภายใน ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดความเจ็บปวด
- การบีบรัดของหูรูดทวารหนัก จนเกิดภาวะขาดเลือดในหัวริดสีดวง เมื่อติ่งเนื้อไม่มีเลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นจะทำให้เกิดภาวะขาดเลือดและเกิดการหดตัวของหูรูดทวารหนักจนเกิดอาการบวม อักเสบ และเน่ามีกลิ่นเหม็น
การรักษาโรคริดสีดวง
โดยส่วนมากโรคริดสีดวงจะสามารถรักษาให้หายเองได้ โดยมีวิธีการปฏิบัติดังนี้
- การนั่งแช่ในน้ำอุ่น เพื่อลดการอักเสบและลดการขยายตัวของหลอดเลือดดำประมาณ 10-15 นาที โดยควรทำทั้งก่อนและหลังถ่ายอุจจาระ
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยการเพิ่มอาหารที่มีกากใยให้มากขึ้น และดื่มน้ำให้มากขึ้น
- การกินยา โดยผู้ป่วยสามารถกินยาลดอาการบวมของเส้นเลือดดำ หรือยาแก้ปวด
- เหน็บยา แพทย์จะสั่งยาเหน็บเพื่อรักษาให้อาการดีขึ้น
- การฉีดยา จะทำโดยการฉีดยาเข้าไปในชั้นใต้เยื่อบุ ทำให้เกิดพังผืดรัดเส้นเลือด โดยฉีดระดับเหนือหูรูดทวารหนัก แต่แพทย์จะไม่ฉีดสารเคมีเข้าริดสีดวงโดยตรง เพราะสารเคมีอาจจะเข้าเส้นเลือดและส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดท้องและแน่นหน้าอกได้
- การใช้ยางรัด เป็นวิธีสำหรับผู้ป่วยที่มีริดสีดวงภายในที่ยื่นออกมาที่มีขั่วขนาดเหมาะสมในการรัด โดยแพทย์จะใช้หนังยางรัดเพื่อทำให้หัวริดสีดวงฝ่อและหลุดออกมาเองตามธรรมชาติ
- การจี้ริดสีดวง จะทำการจี้ริดสีดวงด้วยเครื่องจี้ไฟฟ้า หรืออินฟาเรด
- การผ่าตัด ใช้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นในระยะที่ 3-4 เพราะติ่งเนื้อจะมีขนาดใหญ่ แพทย์จะทำการผ่าตัดเพื่อเย็บ หรือผูกหัวริดสีดวง นอกจากนี้ยังมีการใช้เครื่องมือตัดเย็บเพื่อทำให้ติ่งเนื้อกลับเข้าไปในลำไส้ตรงอีกด้วย
การป้องกันตนเองจากริดสีดวง
- รับประทานอาหารที่มีกากใย เช่น ผักและผลไม้ เพื่อไม่ให้เกิดอาการท้องผูก
- ควรดื่มน้ำในปริมาณมากวันละ 8-10 แก้วเพื่อให้ขับถ่ายง่าย
- ไม่ควรเบ่งอุจจาระแรงเกินไป
- หากพบว่ามีเลือดออกมากควรรีบพบแพทย์
- รักษาสุขอนามัย โดยการล้างก้นด้วยน้ำสะอาดอยู่เสมอ และไม่ควรใช้กระดาษชำระที่แข็งจนเกินไปเพราะอาจจะทำให้รูทวารหนักเกิดบาดแผลได้
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น
สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคริดสีดวง
การรักษาโรคริดสีดวงสามารถรักษาให้หายขาดโดยการใช้ยาหรือการผ่าตัด แต่ก็ยังมีวิธีการรักษาด้วยสมุนไพรไทย ดังนี้
เพชรสังฆาต
วิธีการใช้ ให้นำเพชรสังฆาตสด 1 ปล้อง หั่นเป็นข้อเล็กๆ แล้วหุ้มด้วยกล้วยสุกหรือมะขามเปียก แล้วรับประทานวันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้าและเย็น ให้รับประทานติดต่อกันเป็นเวลา 10-15 วัน อาการของริดสีดวงจะค่อยๆ บรรเทาและสามารถหายเองได้
ว่านหางจระเข้
ก่อนอื่นควรทำความสะอาดทวารหนักให้แห้งและสะอาดก่อน โดยแนะนำให้ทำหลังจากอุจจาระเสร็จหรืออาบน้ำเสร็จแล้ว หรืออาจทำก่อนนอนก็ได้ ส่วนวิธีใช้ ให้นำว่านหางจระเข้มาปอกเปลือกส่วนนอกออกให้หมด แล้วเหลาให้ปลายแหลมเล็กน้อย เพื่อความสะดวกในการเหน็บเข้าไปในช่องทวารหนัก ซึ่งหากต้องการให้เหน็บง่ายมีข้อแนะนำว่า ให้นำว่านหางจระเข้ไปแช่ในตู้เย็นเพื่อทำให้เกิดการแข็งตัวจะทำให้สอดได้ง่ายขึ้น และควรทำให้ได้วันละ 1-2 ครั้ง จนกว่าจะหาย